Test Description | Meaning | Normal Range (Women, age > 60) | Description |
WBC Count | เม็ดเลือดขาว | 3.98-10.04 | หน้าที่เม็ดเลือดขาว ทำลายเชื้อโรค เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย เม็ดเลือดขาวจะถูกผลิตเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ เพื่อเตรียมพร้อมที่จะทำลายสิ่งแปลกปลอมโดยวิธี |
1. การสะกดกลืนกิน (phagocytosis) เป็นวิธีทำลายเชื้อโรคโดยการกินและย่อยสลายเชื้อโรค | |||
2. การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค (immunization) เม็ดเลือดขาวบางชนิดจะสร้างสารพวกโปรตีนที่มีคุณสมบัติต่อต้านสิ่งแปลกปลอมและเชื้อโรค | |||
RBC Count | เม็ดเลือดแดง | 3.93-5.22 | หน้าที่ของเม็ดเลือดแดง 1. นำออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ทั่วร่างกาย 2. นำคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากเซลล์ไปสู่ปอด 3. ทำให้เลือดมีสีแดง โดยฮีโมโกลบินรวมกับออกซิเจน |
Hb | ฮีโมโกลบิน | 11.20-15.70 | ปริมาณฮีโมโกลบิน (Hemoglobin,Hb) ฮีโมโกลบินมีหน้าที่นำออกซิเจนจากปอดไปสู่เซลล์ และนำคาร์บอนไดออกไซด์จากเซลล์กลับไปฟอกที่ปอด ค่าฮีโมโกลบินที่ลดลงอาจเกิดจากการเสียเลือด และการขาดสารอาหาร โลหิตจาง โดยเฉพาะการขาดธาตุเหล็กใช้บอกภาวะโลหิตจาง เช่นเดียวกันกับ Hct ค่าปกติของ Hb มักจะเป็น 1/3 เท่าของ Hct |
Hct | ความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงอัดแน่น | 34-45 | ความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงอัดแน่น (Hematocrit, Hct) หรือ เปอร์เซนต์ของเม็ดเลือดแดงอัดแน่นเทียบกับปริมาตร ของเลือดทั้งหมด ค่านี้ใช้บอกภาวะโลหิตจาง หรือ ข้น ของเลือด ค่าฮีมาโตคริต ที่เพิ่มมากขึ้นจะพบได้ในภาวะช็อค ขาดน้ำอย่างรุนแรง หรือในภาวะที่มีจำนวนเม็ดเลือดเพิ่มขึ้น และพบค่าฮีมาโตคริตต่ำได้ในผู้เป็นโลหิตจาง มะเร็งเม็ดเลือด หรือภาวะมีเลือดออกรุนแรง |
MCV | ปริมาตรของเซลล์เม็ดเลือดแดง | 79.40-94.80 | MCV ย่อมาจากคำเต็มว่า “mean corpuscular volume” หมายถึงปริมาตรของเซลล์เม็ดเลือดแดง 1 เซลล์ หรือเป็นค่าเฉลี่ยปานกลางของปริมาตรเซลล์เม็ดเลือดแดงจำนวน 1 เซลล์” จะเป็นค่าที่บอกว่าเซลล์เม็ดเลือดแดงมีขนาดใหญ่ หรือขนาดเล็ก |
MCH | ค่าเฉลี่ยน้ำหนักของเฮโมโกลบิน/จำนวนเม็ดเลือดแดง | 25.60-32.20 | Mean corpuscular hemoglobin (MCH) หมายถึงค่าเฉลี่ยน้ำหนักของเฮโมโกลบิน (Hb) ในเซลล์เม็ดเลือดแดง 1 เซลล์ MCH = Hgb/RBC count |
MCHC | ค่าเฉลี่ยน้ำหนักของเฮโมโกลบิน/Hct | 32.20-35.50 | MCHC = Hgb/Hct |
Platelet count | การนับจำนวนเกร็ดเลือด | 140-400 | การนับจำนวนเกร็ดเลือด (Platelet count) เกร็ดเลือดเป็นเซลเม็ดเลือด คล้ายเศษเม็ดเลือดแดง เป็นตัวที่ช่วยในการหยุดไหล ของเลือด เวลาเกิดบาดแผล จะมีจำนวนประมาณ แสนกว่าเกือบสองแสน ขึ้นไปถึงสองแสนกว่า การรายงานอาจจะรายงานเป็นจำนวน cell/ml เลยจากการนับ หรือ จากการประมาณด้วยสายตาเวลาดูสไลด์ที่ย้อมดูเม็ดเลือด |
Neutrophil | 34-71 | นิวโทรฟิล (Neutrophils) มีหน้าที่ทำลายเชื้อแบคทีเรีย ถ้าร่างกายมีการติดเชื้อแบคทีเรียหรือได้รับบาดเจ็บ จะทำให้นิวโทรฟิลสูงขึ้น ค่าปกติ ประมาณ 50-60% ถ้าสูงมากเช่น มากกว่า 80% ขี้นไป และโดยเฉพาะถ้า สูงและมีปริมาณWBC รวม มากกว่าหมื่นขึ้นไป จะทำให้นึกถึงภาวะมีการติดเชื้อแบคทีเรีย | |
Lymphocyte | 19-52 | ลิมโฟไซต์ (Lymphocyte) หรือเม็ดน้ำเหลือง มีหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันโรคให้กับร่างกาย ต่อสู้การติดเชื้อแบคทีเรียเรื้อรังและการติดเชื้อไวรัสเฉียบพลัน ถ้าพบ Lymphocyte ในปริมาณ สัดส่วนสูงขึ้นมามากๆ โดยเฉพาะร่วมกับ ภาวะเม็ดเลือดขาว(WBC)โดยรวมต่ำลง อาจจะเกิดจากการติดเชื้อไวรัส โดยเฉพาะถ้ามี Lymphocyte ที่รูปร่างแปลกๆและตัวโตผิดปกติ ที่เรียกกันว่า Atypical Lymphocyte จำนวนมากร่วมกับ เกล็ดเลือดต่ำ และ Hct สูง จะพบได้บ่อยในผู้ที่เป็นไข้เลือดออก | |
Monocyte | 5-12 | โมโนไซท์ (Monocyte) มีนิวเคลียสใหญ่ รูปร่างคล้ายเมล็ดถั่ว ทำหน้าที่ทำลายเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย ซึ่งมีประสิทธิภาพในการกลืนกินเซลล์สูงกว่า neutrophils ซึ่งสามารถย่อยเชื้อจุลชีพต่างๆ ได้มากกว่าถึง 10 เท่า มีความสำคัญในกระบวนการซ่อมแซมเนื่องจากเป็นเซลล์ที่ผลิตโปรตีนต่างๆ ในกระบวนการซ่อมแซมรอยแผล โปรตีนบางชนิดเป็นเอนไซม์ย่อยสลายเนื้อเยื่อ โมโนไซต์ (Monocyte) มีหน้าที่ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อโรคที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งเม็ดเลือดขาวชนิดอื่นทำลายไม่ได้ และสามารถสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้ด้วย |
|
Eosinophil | 1-6 | อีโอซิโนฟิล (Eosinophils) มีหน้าที่ทำลายสารพิษที่ทำให้เกิดอาการแพ้สารของร่างกาย เช่น โปรตีน ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ เป็นต้น และยังช่วยทำให้เลือดคงสภาพเป็นของเหลวอยู่ตลอดเวลาไม่แข็งตัว ปกติไม่ค่อยพบอาจจะพบได้ 1-2% จะพบมีค่าสูงได้บ่อยในภาวะภูมิแพ้ หรือมีพยาธิ |